เนื้อหาเพิ่มเติม

เนื้อเรื่อง Dark Soul Prepare to die

 

โลกของเหล่ามังกรและการมาถึงของไฟ


เมื่อโลกถือกำเนิดขึ้น ทั้งผืนดิน,ท้องฟ้า, แหล่งน้ำ ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาสีเทาไม่มีทั้งค่ำคืนไม่มีทั้งรุ่งสาง ยุคนี้ได้ถูกเรียกว่า Age of Grey และพื้นพิภพได้ถูกปกครองโดยเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลัง นั้นก็คือ Everlasting Dragon หรือเรียกง่ายๆว่า “มังกรนิรันดร”


( ภาพประกอบ : โลกของ Dark Soul ในยุคเริ่มต้น )


ร่างกายของพวกมันมีเกล็ดที่แข็งแกร่งและทนทานต่อการโจมตีอีกทั้งยังไม่มีอายุขัย,ไม่แก่ชราเป็นร่างกายที่คงกระพัน มังกรเหล่านี้อาศัยอยู่ในต้นไม้ใหญ่ที่ต่อมาถูกเรียกว่า Arch Tree ยอดของมันสูงทะยานขึ้นไปจนเกือบจะแตะกับก้อนเมฆ บนพื้นพิภพไม่มีสิ่งใดกล้าต่อกรกับบรรดามังกรเหล่านี้ แต่ใต้ดินลึกลงไปเบื้องล่างได้เกิดปรากฏบางอย่างที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดการ


( ภาพประกอบ : Everlasting Dragon หรือก็คือ “มังกรนิรันดร”  )


First Flame กองเพลิงกองแรกบนโลกได้ลุกโชนขึ้น ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหนหรือเกิดขึ้นได้อย่างไร มันลุกโชนขึ้นมาท่ามกลางความมืดและความหนาวเหน็บ แสงสว่างและความอบอุ่นได้ไปกระตุนความสนใจบรรดาสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อาศัยอยู่ใต้ดิน และมีสิ่งมีชีวิต 3 ตนได้ค้นพบ  “Lord Soul” หรือจิตวิญญาณอันทรงพลังจากข้างในกองเพลิง พวกมันจึงยึดครอง Lord Soulแต่ละดวงไว้กับตนเองเพื่อให้ได้พลังที่ยิ่งใหญ่


( ภาพประกอบ : First Flame ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความมืด  )


นามของตนแรกคือ “Gwyn เทพแห่งพระอาทิตย์” เป็นตัวแทนของแสง,และเป็นผู้นำของกองทัพ Silver Knight


( ภาพประกอบ : Gwyn และกองทัพ Silver Knight  )


ตนต่อมาคือ “Nito  จ้าวแห่งความตาย” มีรูปลักษณ์เป็นโครงกระดูกขนาดยักษ์และมีดาบคู่กายเล่มใหญ่เป็นอาวุธ


( ภาพประกอบ : Nito เทพเจ้าแห่งความตาย  )


และตนสุดท้าย “แม่มดแห่ง Izalith” ผู้คิดค้นศาสตร์แห่งการใช้ไฟ และนางยังได้ถ่ายทอดความรู้นี้ไปยังบรรดาลูกสาวซึ่งถูกเรียกรวมกันว่า Daughters of Chaos  โดยต่อมาเผ่าพันธุ์ของLordทั้งสามได้ถูกเรียกว่า Giant (ยักษา)


( ภาพประกอบ : แม่มดแห่ง Izalith )


แต่ถ้าหาก Lord Soul เกิดขึ้นจากแสงสว่างของ First Flame เงาของมันก็ย่อมให้กำเนิด Soul ได้เช่นกัน นั้นก็คือ “The Dark Soul” มันถูกค้นพบโดยสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำตัวเล็กๆตนหนึ่งแต่แทนที่เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้จะเก็บเอา Dark Soul ไว้เพียงคนเดียวเหมือนกับบรรดา Lord ทั้งสามก่อนหน้านี้ มันกลับเลือกที่จะแยก Dark Soul ออกเป็นชิ้นๆนับไม่ถ้วนจากนั้นแจกจ่ายไปยังพวกพ้องสายพันธุ์เดียวกัน ซึ่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเหล่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกนั้นเอง


( ภาพประกอบ : Pygmy Lord คนแรก )


โดยผู้นำของมนุษย์กลุ่มนี้ถูกเรียกว่า Pygmy Lord ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือตำแหน่งราชานั้นเอง ในตัวเกมไม่ได้บอกไว้ว่ามี Pygmy Lords กี่คนแต่อนุมานจากเนื้อเรื่องแล้วน่าจะมีเยอะมาก เพราะมันเป็นเหมือเชื้อสายกษัตริย์ที่มีการสืบราชวงศ์ต่อๆกันมา




มหาสงครามครองพิภพ


เมื่อถึงจุดที่อาณาจักรของ Gwyn นั้นเรืองอำนาจมากขึ้น Gwyn ได้นำกองทัพ Silver Knight ของตนเข้าทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดร ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงหรือบางทีมันอาจจะเป็นความทะเยอทะยานที่อยากพิชิตจุดสูงสุดของห่วงโซ่ก็ได้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักที่เทพแห่งดวงอาทิตย์และแสงสว่างอย่าง Gwyn ย่อมปรารถนาที่จะได้เห็นดวงตะวันบนพื้นพิภพลอยสุขสว่างแทนที่โลกอันเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาสีเทา ทางด้านของพวกมังกรนิรันดรผมอยากให้ผู้อ่านลองคิดดูว่าถ้าหากมีมดตัวเล็กๆกำลังกัดเราอยู่ ก็คงเดาไม่ยากเลยว่าเราจะทำอย่างไรกับมัน

ถึง Gwyn จะมีกองทัพ Silver Knight และขุนพลมือฉมังในสังกัดจำนวนมาก แต่เห็นทีสงครามใต้ผืนฟ้าสีเทาครั้งนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว ยิ่งนานวัน Gwyn ค่อยๆถูกเหล่ามังกรนิรันดรเข้าบดขยี้กองทัพจนและเริ่มสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เหล่าทวยเทพที่เป็นวงศาคณาญาติหรือเผ่าพันธุ์เดียวกันกับ Gwyn จ่างก็เริ่มล้มตายจากการต่อสู้


( ภาพประกอบ : เหล่าบรรดาขุนพลของ Gwyn ที่รบในสงครามมังกร )


บีบให้ Gwyn ต้องเริ่มมองหาหนทางใหม่เพื่อเอาชนะสงครามครั้งนี้...แม้หนทางนั้นจะต้องดำดิ่งสู่ความมืดก็ตาม เขาได้รวมมือกับ Nito และแม่มดแห่ง Izalith เพื่อที่จะเอาชนะในมหาสงคราม เอาจริงๆมันเหมือนตลกร้ายที่สิ่งมีชีวิตซึ่งเรียกตัวเองว่าเทพเจ้าต้องขอความร่วมมือกับตัวแทนแห่งความตายและแม่มดนอกรีต

แม้ตอนนี้ Gwyn จะได้พันธมิตรมาเพิ่มแต่เขาก็ยังคงแสวงหาความแข็งแกร่งที่มากกว่านี้ เขาต้องการกองกำลังที่จะมาเป็นหมากใต้บังคับบัญชาหรืออย่างน้อยก็สนับสนุนตัวเขาเพียงคนเดียว โดยทางออกก็คือกองกำลังนักรบของ Pygmy Lord นั้นเอง นักรบพวกนี้ในภายหลังจะถูกเรียกขานว่า Ringed Knight


( ภาพประกอบ : Ringed Knight และศาสตราวุธอันทรงพลัง )


ซึ่งเป็นนักรบที่มีฝีมือช่ำชองในการรบระยะประชิดอย่างมากจึงได้รับหน้าที่เป็นหน่วยประจัญบานกับมังกร สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาขุนพลของ Gwyn ในแนวหน้า ทำให้  Silver Knight ส่วนมากต้องแปรเปลี่ยนเป็นกองหนุนระยะไกล คอยยิงธนูขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อยิงมังกรให้ตกจากท้องฟ้าโดยเฉพาะ


( ภาพประกอบ : ภาพภายในเกมของ Dragonslayer Greatbow หรือธนูสังหารมังกร )


ความลับในความเก่งกาจดุจปีศาจของ Ringed Knight พวกนี้มาจากอาวุธและชุดเกราะที่ตีขึ้นจากใน The Abyss  ซึ่งเป็นสถานที่ๆมีแต่ความมืดมิดไร้จุดจบ โดยชุดเกราะจะดึงเอาพลังจาก Dark Soul ในตัวของมนุษย์ออกมาเพิ่มพลังให้กับคนที่สวมใส่มันและที่สำคัญเลยก็คือคนพวกนี้เป็นอมตะ!

จากท่าทีเสียเปรียบตั้งแต่ต้นของGwyn ในสงครามมาตอนนี้เขาพอที่จะมีกำลังเพื่อเปลี่ยนทิศทางของสงครามได้บ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสงครามกับเหล่ามังกรครั้งนี้เกือบจะต้องกินเวลาแสนนานไม่รู้จบเสียแล้ว หาก Gwyn ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ทรยศที่เป็นหนึ่งในบรรดามังกรนิรันดร นามของมังกรตัวนั้นคือ Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด


( ภาพประกอบ : Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด)


 Seath เกิดมาในฐานะของมังกรนิรันดรสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดและอยู่บนจุดสูงสุดเหนือเผ่าพันธุ์อื่น แต่ตัว Seath นั้นแตกต่างจากเหล่าพี่น้องเพราะมีร่างกายที่พิกลพิการไม่มีขาและไร้ซึ่งเกล็ดทำให้มองเห็นเนื้อสีขาวที่บอบบาง และอีกสิ่งที่ไม่มีก็คือความคงกระพันที่เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของมังกรนิรันดร ปราศจากมันเขาก็ไม่ต่างอะไรจากเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ Seath ไม่ถูกยอมรับและถูกมองข้ามจากเหล่ามังกรนิรันดรด้วยกันเอง เป็นแค่ตัวภาระในสงครามที่ไม่สามารถออกรบได้ มันเป็นบาดแผลในใจผนวกกับความแค้นในโชคชะตาที่ต้องเกิดมาต้องพิกลพิการและถูกปฏิเสธจากเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไร้เยื่อใย แต่ใช่ว่า Seath จะยอมรับต่อชะตากรรมเช่นนี้ เขาทดแทนร่างกายที่อ่อนแอด้วยความพยายามที่จะศึกษาและเรียนรู้ และแล้ว Seath สามารถสร้างศาสตร์แห่ง Sorcery หรือก็คือเวทย์มนต์ขึ้นมาได้


( ภาพประกอบ : พลัง Sorcery ในเกม Dark Souls )


ด้วยความแค้นที่ฝังลึก Seath ได้แปรพักตร์ไปเข้ากับ Gwyn และช่วยเหล่าเทพคิดค้นศาสตร์แห่ง Miracle ศาสตร์ที่ต้องอาศัยความศรัทธาเป็นพลังแห่งปาฏิหาริย์ Gwyn จึงสามารถสร้างสายฟ้าอันทรงพลังที่ทำลายเกล็ดอันแข็งแกร่งของเหล่ามังกรนิรันดรลงได้และแน่นอนว่า Gwyn ต้องติดอาวุธใหม่นี้ให้กับกองกำลัง Silver Knight ของเขาด้วยอย่างแน่นอน


( ภาพประกอบ : พลัง Miracle ที่ Gwyn ใช้สร้างสายฟ้าเพื่อสังหารมังกรนิรันดร)


เมื่อเกล็ดหลุดหายไปด้วยพลังแห่งสายฟ้า Nito จ้าวแห่งความตายก็รับไม้ต่อทันที เขาจัดการใช้พลังสร้างโรคร้ายเข้าสู่ร่างกายที่ไร้การป้องกันของพวกมังกรทำให้เจ็บปวดทรมานจนตาย เมื่อเหล่ามังกรเห็นว่าความคงกระพันของพวกตนถูกทำลายลงอย่างง่ายดายล้วนต่างก็หวาดกลัวแต่ก็ไม่มีที่ให้ถอยกลับไปตั้งหลักเสียแล้ว เพราะแม่มดแห่ง Izalith และลูกๆของนางได้ใช้พลังไฟเผาต้น  Arch Tree ที่เป็นบ้านของเหล่ามังกรจนหมดสิ้น


( ภาพประกอบ : การต่อสู้ในสงครามมังกรของ Nito และแม่มดแห่ง Izalith )


 ชั่วพริบมหาสงครามอันยาวนานก็ได้จบลง นับจากช่วงเวลานั้นเป็นต้นมาก็หมดสิ้นแล้วซึ่งเหล่ามังกร เมฆหมอกสีเทาที่เคยบดบังท้องฟ้าได้หายไปเผยให้เห็นรุ่งอรุณที่สดใส่บนฝากฟ้าและโลกก็ได้เข้าสู่  Age of Fire หรือยุคแห่งไฟ ยุคของ Gywn อย่างแท้จริง


( ภาพประกอบ : กองพะเนินศากศพของเหล่ามังกร )


จบลงไปแล้วกับ Lore บทที่หนึ่ง “การเริ่มต้นของปฐมเพลิงและมหาสงครามมังกร” ในเกม Dark Souls ที่ผมได้รวบรวมและปะติดปะต่อเรื่องราวที่มีอยู่อันน้อยนิดมาให้กับท่านผู้อ่านได้รับชม ผมยินดีมากถ้าหลายๆคนอยากแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับLoreที่แตกต่างออกไป เพราะตัวเกมเหมือนจะออกแบบให้เนื้อเรื่องมีความกำกวมอยู่ในตัว เช่น ตัวเกมอธิบาย 40% ที่เหลือต้องสังเกตเอาเอง จึงเป็นเรื่องดีที่เราจะได้แลกเปลี่ยนแนวคิดกัน

ส่วนบทต่อไปนั้นเราจะไปดูเหตุการณ์หลังสงครามกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรรดา Lord ทั้งสาม และการเผยโฉมศัตรูที่แท้จริงของ Gwyn…


บทที่ 2

สุสานแห่งความสงบ

หลังการสิ้นสุดลงของมหาสงครามมังกร โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งเพลิงซึ่งแน่นอนว่าบรรดา Lord ทั้งสามที่ชนะสงครามต่างกลายเป็นมหาอำนาจเเห่งโลกใบใหม่ โดย Lord ตนแรก Nito จ้าวแห่งความตายที่แม้จะเป็นผู้ชนะในสงครามก็ตาม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก



Nito ได้เดินทางกลับไปยังใต้พื้นดินที่ทั้งมืดมิด,ทั้งหนาวเหน็บ ซึ่งเป็นสถานที่ๆบุคคลผู้ล่วงลับไปเเล้วจะได้พบกับความสงบสุขและหลุดพ้นจากความวุ่นวายในครั้งที่ยังมีชีวิต เเละคนไม่น้อยเชื่อว่าหากได้นำศพไปฝังใกล้กับที่อยู่ของ Nito วิญญาณเหล่านั้นก็จะได้ไปสู่สุขคติ เมื่อนานวันเข้าศพที่ถูกฝังไว้ ก็เพิ่มพูนมากขึ้นจนบริเวณโดยรอบ กลายสภาพเป็นสุสานเรียกว่า The Catacombs แหล่งพักผ่อนของชีวิตหลังความตาย



แต่ดูเหมือนว่าเหล่าสิ่งมีชีวิตจะไม่ยอมให้ Nito ได้พักผ่อนง่ายๆเสียแล้ว เพราะมีมนุษย์บางคนที่เต็มไปความกล้าบวกกับความบ้า ! ออกเดินทางฝ่าสุสานที่น่าขนพองสยองเกล้า เพื่อไปหา Nito  และขอฝากตัวเป็นข้ารับใช้โดยแลกกับการที่ได้เรียนรู้ศาสตร์ที่จะมอบอำนาจเหนือความตายให้ แต่พวกข้ารับใช้เหล่านี้ก็มักจะนำเอาความรู้ไปใช้ทำอะไรที่มันพิเรนๆ จนเวทมนต์ดำย้อนกลับเข้าตัวเอง


นครแห่งเพลิง


หลังสงครามมังกรจบลง แม่มดแห่ง Izalith ก็ได้แยกตัวไปสถาปนาอาณาจักรของตน นามว่านคร Izalith ขึ้นมาซึ่งตั้งอยู่ใต้ดินลึกลงไป โดยมันลึกเสียยิ่งกว่าสุสานของ Nito เสียอีก และยิ่งไปกว่านั้นตัวเมืองยังมีลำธานลาวาเดือดอยู่ล้อมหน้าล้อมหลัง เป็นปราการป้องกันนคร Izalith จากภัยอันตรายภายนอก



ส่วนสิ่งก่อสร้างก็มีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกได้ถึงความเจริญของมหานครแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี



การปรากฏขึ้นของ The Frist Flame และการเข้าสู่ยุคแห่งเพลิง มันส่งผลดีต่อ Gwyn ที่เป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างรวมไปถึงบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ทำให้มีอิทธิฤทธิ์เหนือบรรดา Lord ตนอื่นอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่า Nito จะไม่สนใจในเรื่องนี้แต่สำหรับตัวแม่มดแห่ง Izalith นางมีความคิดทะเยอทะยานอยากจะสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่  แม้ว่าจะเริ่มต้นช้ากว่า Gwyn เเต่นางก็ได้ลงมือทำหลายอย่างไปพร้อมๆกันเพื่อให้อาณาจักรเข้มแข็งขึ้นอย่างเร็วที่สุด ทั้งใช้ให้บรรดาลูกสาว Daughters of Chaos ของนางเผยแพร่ศาสตร์แห่งการใช้ไฟแก่บุคคลคนที่มีคุณสมบัติคู่ควร และวางตัวคนพวกนั้นไว้ในตำแหน่งสำคัญในนคร Izalith หรือจะเป็นการพยายามสร้างมังกรที่เคยสูญพันธุ์ไปแล้วในอดีต ให้กลับมาซึ่งมันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า



เเต่ถึงจะทดลองล้มเหลว เเม่มดเเห่ง Izalith ก็ไม่ได้กำจัดสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทิ้งไปแต่อย่างใด มิหนำซ้ำมันกลับถูกเก็บไว้ใกล้กับใจกลางตัวเมือง สร้างความกระอักกระอวนใจให้กับผู้คนที่พบเห็นเป็นอย่างมาก แต่การกระทำที่ว่ามาข้างต้น ก็หาได้เทียบเคียงกับผลงานชิ้นโบว์แดงของนางไม่ ซึ่งก็คือการสร้าง Chaos Flame !



หาก The Frist Flame เป็นขุมพลังของ Gwyn แล้วละก็  Chaos Flame ก็ย่อมเป็นขุมพลังของแม่มดแห่ง Izalith เช่นกัน ต่างกันตรงที่  Chaos Flame ไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่ตัวมันถูกสร้างมาจากเศษเสี้ยว Lord Soul จากตัวของแม่มดแห่ง Izalith นอกจากนี้ Chaos Flame มันยังมีผลข้างเคียงที่ทำให้คนที่สัมผัสมันมีอารมณ์รุนเเรงเเละแปรปรวน ด้วยเหตุนี้พระสวามีของเเม่มดเเห่ง Izalith นาม King Jeremiah และบรรดาลูกๆบางคนเริ่มสะกิดใจในพลังของ Chaos Flame

แต่ถึงอย่างนั้นแม่มดแห่ง Izalith ก็ยังคงทุ่มเทให้กับการทดลอง Chaos Flame อย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ตอนที่นางตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่เว้น ทำให้ส่งผลต่อลูกที่อยู่ในครรภ์ของนาง โดยเมื่อถึงคราวคลอดออกมา นางได้ให้กำเนิดทารกเพศชายที่มีรูปร่างประหลาด มีลาวาไหลออกมาจากตัวตลอดเวลา มันสร้างความเจ็บปวดให้กับทารกเป็นอย่างมาก และทำให้เขาถูกเรียกว่า Ceaseless Discharge เเต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรังเกียจ Ceaseless Discharge มีพี่สาวของเขาคนหนึ่งที่คอยปลอบประโลมเเละมอบแหวนซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวดลงได้ แต่เด็กก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ โดยวันหนึ่งที่ Ceaseless Discharge กำลังวิ่งเล่นอยู่ริมหน้าผา เขาก็ได้เผลอทำแหวนตกหล่นหายไป ทำให้หลังจากนั้นเขาต้องทนเติบโตมากับความเจ็บปวดไปจนตาย


ความพังพินาศของ Izalith


การเกิดขึ้นมาของ Ceaseless Discharge สร้างข้อกังขาให้กับการทดลอง Chaos Flame เป็นอย่างมากโดยเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์ลง แม่มดแห่ง Izalith ได้แสดงผลของการทดลองด้วยการสร้างเวทมนต์ Chaos ขึ้นมา



เวทมนต์ Chaos นั้นทรงพลังยิ่งกว่าศาสตร์เเห่งการใช้ไฟทั่วๆไป แต่ในทางกลับกัน มันก็คือการหยิบยื่นพลังของ  Chaos Flame ที่ยังไม่เสถียรเเละไม่เสร็จสมบูรณ์ ไปยังเหล่าประชากรในนคร Izalith เเละหลังจากเหตุการณ์นี้จบลงไปได้ไม่นานก็เกิดเรื่องพิลึกพิลั่นที่น่าตกใจขึ้น นั้นก็คือมีประชากรบางส่วนกลายร่างเป็น Demon หรืออสูรกาย คนที่กลายร่างนั้นจะมีขนาดและพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้น โดยคนแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือหนูน้อย Ceaseless Discharge นี่เอง ทำให้ร่างกายที่ผิดปกติอยู่เเล้วของเขา กลับยิ่งมีสภาพที่บิดเบี้ยวและอัปลักษณ์เป็นทวีคูณ


( ภาพประกอบด้านซ้าย : หนูน้อย Ceaseless Discharge คือคนเเรกที่กลายเป็นอสูร )


( ภาพประกอบด้านขวา : หนึ่งในประชากรระดับสูงของนคร Izalith ที่กลายเป็นอสูร )


แต่ทว่าคนที่กลายร่างเป็นอสูรกายเหล่านี้ไม่ได้สูญเสียสติปัญญาแต่อย่างใด อสูรกายหลายตนยังมีความทรงจำครั้งยังเป็นมนุษย์เหลืออยู่ครบถ้วน ซึ่งเรื่องพิสดารเหล่านี้มันเกิดขึ้นเพราะการทดลอง  Chaos Flame ได้เสร็จสมบูรณ์ลงแล้ว เเต่แม่มดแห่ง Izalith ยังไม่สามารถที่จะควบคุมพลังของมันได้ และเนื่องจาก Chaos Flame ถูกสร้างให้มีความคล้ายกับ The First Flame ทำให้มีพลังในการมอบชีวิตเหมือนกัน เช่น The First Flame ที่เปลี่ยนจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำให้กลายเป็นเผ่าพันธุ์ยักษาและมนุษย์ แต่กรณีของ Chaos Flame คือการเปลี่ยนเเปลงให้กลายเป็นอสูรกาย

นคร Izalith ในตอนนี้เกิดความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายที่มองว่า Chaos Flame เป็นพลังที่ชั่วร้ายและต้องถูกทำลายนำโดย King Jeremiah  ส่วนอีกฝ่ายสนับสนุนแม่มดแห่ง Izalith เพราะเชื่อว่าการกลายสภาพเป็นอสูรกายไม่ได้ทำให้อ่อนแอ แต่มันคือการยกระดับวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ให้สูงขึ้น    สูงยิ่งกว่าเหล่าทวยเทพอย่าง Gwyn ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุนนั้นมีมากกว่า ทำให้ King Jeremiah ถูกขับไล่ออกจากนคร Izalith ผู้คนที่ไม่เห็นด้วยก็ต่างลี้ภัยขึ้นไปอยู่บนพื้นผิวโลก แต่คนที่เคยใกล้ชิดกับเวทมนต์ Chaos ไปแล้ว ไม่ว่าจะหนีไปไหนก็ไม่อาจเลี่ยงชะตากรรมที่ต้องกลายสภาพเป็นอสูรกายอย่างช้าๆไปได้


 ( ภาพประกอบด้านซ้าย : อสูร ParasiticWall Hugger ซึ่งในตัวเกมมี Codename ว่า “PrinceIzalis” )


 ( ภาพประกอบด้านขวา : Xanthous King, Jeremiah หมวกรูปทรงประหลาดที่มีไว้เพื่อปกปิดศรีษะที่กำลังกลายสภาพ )


แต่มีหญิงคนหนึ่งที่ไม่กลายร่าง และเธอยังเป็นลูกสาวคนหนึ่งของแม่มดแห่ง Izalith อีกด้วย นามของเธอคือ Quelana ตัวเธอไม่อาจรับสภาพการกลายร่างเป็นอสูรได้ จึงวางเเผนทำทีว่าตนเสียชีวิตเเละหนีขึ้นไปยังพื้นพิภพ  และก็เป็น Quelana นี่เองที่นำเอาศาสตร์แห่งการใช้ไฟแบบดั่งเดิมมาถ่ายทอดสู่มนุษย์บนพื้นผิวโลก



ปราการลาวาที่ครั้งหนึงเคยปกป้องเมืองมาตอนนี้มันช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะสิ่งที่บ่อนทำลายนคร Izalith จริงๆ มาจากน้ำมือของผู้สถาปนานครนี้เสียเอง ตอนนี้นคร Izalith ได้กลายเป็นเเค่เศษซากไปแล้ว เเต่ไม่ว่า Chaos Flame มันจะสร้างปัญหาเพียงใดก็ตาม พลังของมันก็มีมากมายมหาศาลเกินกว่าที่เเม่มดเเห่ง Izalith จะปล่อยให้หลุดมือไป ( มาถึงจุดนี้ก็ให้คิดซะว่า Chaos Flame ก็เหมือนกับพลังงานนิวเคลียร์ในโลกความจริงของเรานี่เอง ที่มีทั้งผลดีเเละผลเสียอยู่ที่ว่าใครจะใช้เพื่อจุดประสงค์อะไร )



เพื่อที่จะควบคุม Chaos Flame แม่มดแห่ง Izalith และลูกสาวอีกสองคนยอมถูก Chaos Flame กลืนกินจนกลายสภาพเป็นอสูรอย่างเต็มตัว เเละได้สร้าง Bed of Chaos ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับรากต้นไม้ ชอนไชไปตามซากมหานครที่ว่างเปล่าซึ่งเคยเป็นมหานครอันรุ่งเรือง แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงสถานที่ในความทรงจำไปเสียเเล้วและถูกเรียกขานต่อๆกันมาว่า Lost Izalith แต่ทว่าบนเศษซากเหล่านั้นก็ได้ถือกำเนิดอารยธรรมใหม่ อารยธรรมของเหล่าอสูรแห่ง Izalith  ที่ต่อมาจะเข้าต่อสู้ห้ำหั่นกับเหล่าทวยเทพไปจนถึงจนวาระสุดท้ายของโลกใบนี้

                                                บทที่ 3

ดินแดนอันเหลื่อมล้ำ Lordran




Lordran คือดินแดนที่ถูกสร้างขึ้นโดย Lord ทั้งสามซึ่งมีการเเบ่งเเยกอาณาเขตกันอย่างชัดเจน โดย Nito  และแม่มดแห่ง Izalith ได้ยึดครองพื้นที่ใต้พิภพเอาไว้ ส่วน Gwyn ผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุดได้ปกครองพิ้นที่บนพื้นผิวโลกเเละได้สถาปนานครหลวงนามว่า Anor Londo ขึ้น  ณ ใจกลางของดินแดน Lordran 

เมือง Anor Londo เป็นเหมือนมหานครในอุดมคติ ทุกอย่างในเAvailable Toolsมืองนั้นดีเลิศเเละดูสวยงามไปหมด ทำให้เมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางความศิวิไลซ์ของทั้งโลก เหล่านักเดินทางทั้งหลายต่างหมายปองที่จะมาเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งนี้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมาเพื่อเคารพสักการระเหล่าเทพเจ้า ,มาเพื่อการค้าขาย ,หรือแม้แต่มาด้วยเหตุผลทางการทูต เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เจริญสุดๆกันไปเลย  แต่เมืองที่มันศิวิไลซ์เช่นนี้ก็มักจะซ่อนเอาความฟอนเฟะเอาไว้ใต้พรม ซึ่งก็คือเหล่ามนุษย์ที่เป็นประชากรชั้นสองของดินเเดนเเห่งนี้นั่นเอง


( ภาพประกอบ : Blight Town หนึ่งในที่อยู่อาศัยของมนุษย์ )


สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ในดินแดน Lordran เรียกได้ว่าอยู่กันแบบตามเวรตามกรรม มีตั้งแต่สลัมที่แออัดไปจนถึงเมืองที่มีความเจริญอย่าง Oolacile ที่มีความก้าวหน้าในเวทย์มนต์แห่งแสง และยังมีเมือง New Londo ที่มีราชาปกครองร่วมกันอยู่ 4 คน แต่ความพิเศษของเมืองนี้ก็คือ Gwyn ได้แบ่งชิ้นส่วนของ Lord Soul ให้กับราชาทั้ง 4 เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า Gwyn ก็ดูแลและเอาใจใส่มนุษย์เป็นเหมือนกัน แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆน่ะเหรอ? อีกทั้งการวางผังเมืองของดินแดน Lordran ค่อนข้างที่จะแปลก เพราะภายในมีการสร้างกำแพงหลายชั้นทั้งที่ภายนอกก็มีกำเเพงสูงคอยป้องกันดินเเดนอยู่เเล้ว รวมไปถึงมีการสร้างป้อมปราการอีกหลายเเห่งราวกับว่ามันถูกใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมเหล่าของมนุษย์  ความจริงถูกซ่อนอยู่ในการกระทำของ Gwyn ที่มีต่อ Seath มังกรผู้ไร้เกร็ด


( ภาพประกอบ : หนึ่งในป้อมปราการที่ในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า Undead Burg )


ด้วยความดีที่ Seath เคยช่วยให้ Gwyn ชนะสงครามมังกรในอดีต Seath ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Duke หรือตำเเหน่งเจ้าพระยา และยังได้รับพื้นที่ส่วนตัวเป็นหอจดหมายเหตุ The Dukes Archives ซึ่งภายในนั้น Seath ได้ใช้พลัง Sorcery ทำการทดลองเพื่อค้นหาความเป็นอมตะให้กับตน


( ภาพประกอบ : The Dukes Archives ที่ภายในเก็บรักษาตำราเเละความรู้ต่างๆเอาไว้มากมาย )


แต่ว่าการทดลองครั้งนี้มันช่างกินเวลายาวนานเสียเหลือเกิน มันได้สร้างความเครียดเเละความเบื่อหน่ายให้กับ Seath เป็นอย่างมาก เขาจึงมีวิธีคลายเครียดที่สุดพิลึกด้วยการจับเอาสิ่งมีชีวิตมาทดลองต่างๆนานา โดยสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุดก็คือการจับเอามนุษย์มาเปลี่ยนให้กลายเป็นงู ว่ากันว่าการที่ Seath ลงมือทำเรื่องที่ชั่วร้ายเช่นนี้ก็เพื่อชดเชยปมด้อยของเขาที่ไม่อาจสืบพันธุ์เเละมีทายาทได้นั่นเอง



( ภาพประกอบ : ผลการทดลองที่ใช้มนุษย์ของ Seath  )


 โดยเรื่องทุกอย่างอยู่ภายใต้การรับรู้ของ Gwyn เเต่เขาก็เเกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้ลงมือห้าม Seath แต่อย่างใด มันแสดงให้เห็นว่า Gwyn ไม่ได้เอ็นดูเเละไว้ใจพวกมนุษย์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ โดยไอ้ความหวาดระแวงเหล่านี้มันมาจากคำเตือนของสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดตนหนึ่งนามว่า  Frampt ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ Primordial Serpent ที่เป็นมังกรชั้นต่ำชนิดหนึ่ง โดยมันได้เตือน Gwyn ถึงเรื่องที่วันหนึ่ง The First Flame จะค่อยๆอ่อนแรงและดับลง จากนั้นผู้ที่ถือครอง Dark Soul อย่างเหล่ามนุษย์จะเป็นใหญ่เหนือบรรดาเทพเจ้า สำหรับ Gwyn เรื่องนี้คือฝันร้ายสุดๆมันเปรียบได้กับการใช้ชีวิตโดยรู้วันตายของตัวเอง แต่หากจะให้ Gwyn ยอมแพ้และนั่งรอจุดจบอยู่เฉยๆละก็ไม่มีทาง! เขาเริ่มมุ่งเป้าไปจัดการกับ Pygmy Lord เป็นคนแรก 


( ภาพประกอบ : รูปปั้นที่เเสดงหน้าตาอันหล่อเหลาของ Frampt เผ่าพันธุ์ Primordial Serpent )


Pygmy Lords มีร่างกายที่เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วๆไป ต่างกันก็เเค่เขาเลือกที่จะยอมรับเเละดึงพลังของ Dark Soul ในตัวมาใช้ ซึ่งนั่นทำให้ Gwyn อยากจะเชือดเหล่า Pygmy Lords ทิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่มันจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเเละอาจทำให้อาณาจักรของเขาพังพินาศเร็วยิ่งกว่าเดิม Gwyn จึงเลือกใช้วิธีที่แยบยลกว่านั้น เขาเริ่มสร้างเมืองที่มีชื่อว่า Ringed City ซึ่งตั้งอยู่ ณ สุดขอบโลก  ทำทีว่านี่คือการตบรางวัลให้กับ Pygmy Lord ด้วยการยกเมืองนี้ให้ ซึ่งตอนนั้น Pygmy Lord ก็ไม่ได้เอะใจเลยว่า Ringed City ก็คือคุกดีๆนี่เอง แต่กลับหลงดีใจคิดว่าเทพเจ้าให้ความสำคัญของตนเอง...ช่างเป็นสิ่งที่น่าสังเวชยิ่งนัก


( ภาพประกอบ : รูปปั้นของเทพเจ้า Gwyn ที่กำลังมอบมงกุฎให้กับ Pygmy Lord ภายใน Ringed City )


คิวต่อมาก็เป็นเหล่านักรบ Ringed Knight ซึ่ง Gwyn ได้มอบตราสัญลักษณ์ให้กับนักรบพวกนี้โดยอ้างว่าเป็นการรยกย่องเกียรติ แต่ที่จริงเจ้าสัญลักษณ์พวกนี้มันคือเวทมนต์ที่ใช้ผนึก Dark Soul อย่างลับๆทำให้พวกเขาดึงพลังของ Dark Soul มาใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ 


( ภาพประกอบ : สัญลักษณ์บนตัว Ringed Knight ที่ Gwyn มอบให้ )


เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามเเผนการแสดงละครของเทพเจ้าก็สิ้นสุดลง Gwyn ได้จัดการลบประวัติศาสตร์ของ Pygmy Lord ไปจนหมดด้วยการทำลายจารึกและรูปปั้น อีกทั้งยังสั่งห้ามพวกขุนพลที่เคยร่วมรบกับเหล่า Ringed Knight ไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องของนักรบพวกนี้อีก ทำให้มนุษย์รุ่นหลังๆไม่รู้ถึงวีรกรรมของเหล่านักรบพวกนี้เลย มันคือการลบตัวตนออกจากน่าประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นการหักหลังของเทพเจ้าครั้งนี้ ก็ไม่รอดพ้นสายของ Velka ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความผิดบาป และนางยังเป็นพระชายาของ Gwyn อีกด้วย

 พงศาวดารเเห่งเทพเจ้า


ย้อนกลับไปในยุคที่ Gwyn ยังคงทำสงครามกับเหล่ามังกรนิรันดร การมีทายาทที่แข็งแกร่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ และแน่นอนว่า Gwyn จะต้องมีพระชายาอยู่เคียงข้าง นั่นก็คือเทพเจ้าแห่งความผิดบาป Velka แต่ประวัติศาสตร์กลับไม่ได้จารึกชื่อของนางเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะว่า Gwyn ไม่อยากให้ Velka เข้ามามีบทบทบาทในการปกครองก็เป็นได้  สำหรับ Gwyn พระชายามีหน้าที่แค่ให้กำเนิดทายาทที่ทรงพลังเพียงเท่านั้น โดยโอรสคนเเรกของ Gwyn กับ Velka เป็นนักรบที่เเข็งเเกร่งเเละห้าวหาญ อาวุธคู่กายของเขาเป็นหอกยาวเล่มใหญ่ซึ่งมีพลังของสายฟ้าสถิตอยู่ข้างใน ด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียวก็สามารทำให้เกิดลมพายุหมุนที่รุนเเรงได้ เขาได้ใช้มันปลิดชีพเหล่ามังกรมาแล้วนับไม่ถ้วนเพราะเขาถูกสอนว่าเหล่ามังกรคือรากเหง้าเเห่งชั่วร้ายเเละต้องถูกกำจัดทิ้ง 


( ภาพประกอบ : รูปลักษณ์ของโอรสคนเเรกของ Gwyn ที่จะปรากฏตัวในอีกหลายพันปีต่อมา )


ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีไมตรีจิตที่ดีทำให้เป็นที่รักและนับถือของเหล่านักรบมากมาย  Gwyn ปราบปลื้มในตัวลูกชายคนแรกของเขาอย่างมาก ถึงขนาดแต่งตั้งให้เป็น God of War หรือเทพแห่งสงคราม ซึ่งต่อมาแม้สงครามมังกรจะได้จบลง เขาก็ยังทำหน้าที่เป็นแม่ทัพให้กับ Gwyn เสมอ ไม่ว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นที่ใดเขาจะเป็นคนแรกที่นำเหล่าทหารกล้าเข้าสู่สมรภูมิ เเละด้วยความสามารถที่รอบด้านเเบบนี้ เเน่นอนว่าคนเป็นพ่ออย่าง Gwyn จะต้องตักตวงผลประโยชน์จากเขาให้มากที่สุด โดย Gwyn ได้จัดตั้ง Warrior of Sunlight  หรือกลุ่มนักรบแห่งเเสงตะวันขึ้นมา เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตวิญญาณให้กับเหล่านักรบทั้งหลายโดยเฉพาะพวกที่เป็นมนุษย์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีจิตใจใฝ่หา Dark Soul ในตัว 


( ภาพประกอบ : รูปปั้นโอรสคนเเรกของ Gwyn ที่ถูกบูชาโดย Warrior of Sunlight )


บุตรของ Gwyn คนถัดมานั้นเป็นเพศหญิง ซึ่งมีรูปร่างและหน้าตาที่สะสวย(มาก)นามว่า Gwynevere อันเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และการมีบุตร…ใช่แล้วครับอ่านไม่ผิดหรอก หน้าที่ของเธอคือการสร้างลูกหลานที่มีเชื้อสายเทพเจ้าให้คงอยู่สืบต่อไป ส่วนคนถัดมาก็เป็นเพศหญิงอีกเช่นกันนามของเธอก็คือ Filianore โดยเธอเกิดมาพร้อมกับพลังเวทมนต์แห่งแสงที่แข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่เธอสามารถควบคุมกาลเวลาได้เลย แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นลูกของ Gwyn เธอก็เหมือนกับถูกขีดชะตากรรมเอาไว้อยู่เเล้ว Filianore ต้องออกเดินทางไปยังเมือง Ringed City เพื่อทำภารกิจบางอย่าง Gwyn มอบหมายให้กับเธอ


( ภาพประกอบด้านซ้าย : Gwyneveret ภายในเกม Dark Souls  )


( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Filianore จากเกม Dark Souls 3  )


บุตรทุกคนของ Gwyn ต่างเกิดมาพร้อมกับพลังเฉพาะตัว ซึ่ง Gwyn ก็อยากให้บุตรคนต่อไปมีพลังที่เหล่าทวยเทพยังไม่เคยมี ซึ่งเรื่องมันเริ่มขึ้นในขณะที่ Velka กำลังตั้งครรภ์บุตรคนสุดท้าย Gwyn อยากให้เด็กที่จะเกิดมามีพลังของ Sorcery เพราะเป็นพลังที่ยังไม่มีเทพองค์ใดใช้มันได้อย่างชำนาญ เขาได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษา Seath ซึ่งเป็นบิดาเเห่งศาสตร์ Sorcery 



( ภาพประกอบ : รูปร่างหน้าของ Seath มังกรผู้ไร้เกล็ด เเละบิดาเเห่ง Sorcery )

เมื่อ Gwyn  ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับ Seath ฟัง เจ้ามังกรเจ้าเล่ห์ก็ได้ยอมตกลงที่จะช่วยเเต่มีข้อเเม้หนึ่งประการ ว่าในอนาคต Seath จะขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเทพเจ้าเป็นรางวัลตอบเเทน ซึ่ง Gwyn ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาไปตามนั้นเพราะคิดว่า Seath คงไม่กล้าขออะไรที่มันเกินตัว โดยเมื่อทั้งสองเห็นชอบดังนั้น Seath ก็ได้แอบร่ายเวทมนต์ใส่ครรภ์ของ Velka โดยเมื่อถึงเวลานางก็ได้ให้กำเนิดทารกเพศชายนามว่า Gwyndolin  ขึ้นมา ซึ่งทารกก็มีพลัง Sorcery อย่างที่ Gwyn ต้องการแต่ทว่ากลับมีขาที่เป็นงู จึงทำให้ Velka รู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของ Seath ด้วยความที่นางไม่ชอบหน้า Seath เป็นทุนเดิมอยู่เเล้วเลยยิ่งทำให้โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิมเเละได้นำเรื่องนี้ไปทูลฟ้องยัง Gwyn เร่งให้เขาจัดการเจ้ามังกรวิปลาสตัวนี้เสียที แต่ Velka กลับต้องใจสลายเมื่อได้รู้ว่า Gwyn เป็นตัวการออกคนสั่งในเรื่องนี้เสียเอง เท่านั้นยังไม่พอ Gwyn ยังพรากเอาตัว Gwyndolin ผู้เป็นบุตรคนสุดท้องไปจากนางและสั่งไม่ให้ข้องเกี่ยวกับการเลี้ยงดูอีก นั่นทำให้ Velka เคียดแค้นเป็นอย่างมาก นางจึงได้สาบานว่าจะชำระเเค้นกับ Gwyn ให้สาสมกับบาปที่เขาได้ก่อ



( ภาพประกอบ : Gwyndolin เเละขาที่เป็นงูของเขา )

Gwyndolin นอกจากมีพลังของ Sorcery ที่เเข็งเเกร่ง เขายังเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาด อีกทั้งยังได้รับพลังจากพระจันทร์ โดยในความเชื่อของเทพเจ้าได้เปรียบเทียบสตรีเพศว่าเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มันเลยทำให้ Gwyndolin ต้องถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกผู้หญิงทั้งในด้านพฤติกรรมและด้านการใช้ชีวิต  โดยเมื่อมีงานราชพิธีที่เขาต้องแสดงตัวต่อหน้าผู้คน Gwyndolin ก็จะซ่อนขาที่เป็นงูเอาไว้ใต้กระโปงยาว จะมีก็แค่ตอนที่อยู่กับพี่สาวอย่าง Gwynevere ที่เขาจะทำตัวได้อย่างตามสบาย ซึ่งทั้งสองก็สนิทกันมากชนิดที่ว่ารู้นิสัยใจขอกันเป็นอย่างดี

ในตอนนี้ทุกสิ่งบนโลกล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของ Gwyn หากว่าเขาปรารถนาสิ่งใดก็ย่อมจะได้สิ่งนั้นมาครอบครองเสมอ มันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ Gwyn จุดสูงสุดของยุคแห่งเพลิง แต่เวลาแห่งความสุขมันมักจะผ่านไปเร็วเสมอเหมือนกับการจุดไม้ขีดไฟ ที่มันจะให้แสงสว่างเเละความอบอุ่นเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นก็จะค่อยๆดับลง เหลือทิ้งไว้เพียงความมืดมิด

 คุยกันหลังเรื่องเล่า


             ก็จบกันลงไปแล้วนะครับกับบทที่สาม  “วิมานของเทพเจ้า กับคำสัญญาหลอกลวง” ท่านผู้ชมรู้สึกยังไงกันบ้าง คิดว่าการกระทำของ Gwyn เป็นสิ่งที่ผิดจนไม่น่าให้อภัย หรือคิดว่าสิ่งที่เขาทำมันก็สมควรแล้ว เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น จะกลัวการสูญเสียสิ่งที่สำคัญเเละจะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษามันเอาไว้ ผมพูดถูกไหมครับ…. แต่อย่าคิดมากกันไปเลย เนื้อเรื่องในเกมนี้มันจะเป็นซะแบบนี้ทุกภาค มันจะดูดาร์คๆหน่อย แถมมี plot หลายอย่างที่หยิบเอามาจากความเชื่อหรือตำนานในโลกเเห่งความจริง เช่น Primordial Serpent ก็ได้รับเเรงบันดาลใจมาจากความเชื่อที่ว่างูเป็นสัตว์ที่ชั่วร้าย โดยมันจะคอยล่อลวงให้มนุษย์กระทำความชั่ว 

ในบทต่อไปเราจะมาดูกันว่า เทพเจ้าที่พยายามฝืนลิขิตโลกจะมีชะตากรรมเป็นเช่นไร เเละก็การมาถึงของคำสาปที่จะกัดกินดินเเดนเเห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์


( ภาพประกอบ : Dark Sign ตราบาปที่จะอยู่บนร่างของมนุษย์ไปตลอดกาล )






บทความนี้เขียนโดย thong baithong

ความคิดเห็น